วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

"เครือข่าย 1G 2G 3G 4G 5G"


>>..."1G"...<< 
            เริ่ม ตั้งแต่ 1G ... ซึ่งเป็นยุคที่ใช้ระบบ Analog คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆทั้งสิ้นซึ่งนั่นก็หมายความว่าสามารถใช้งาน ทางด้าน Voice ได้อย่างเดียว คือ โทรออก-รับสาย เท่านั้น ไม่มีการรองรับการใช้งานด้าน Data ใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ยังทำไม่ได้ในยุค 1G

           แต่จริงๆแล้ว ... ในยุคนั้นผู้บริโภคก็ยังไม่มีความต้องการในการใช้งานอื่นๆ นอกจากเสียง (Voice) อยู่แล้ว โดยปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัดมาก และจะพบว่าผู้ใช้มักจะเป็นนักธุรกิจที่มีรายได้สูงเสียส่วนใหญ่

  
>>..."2G"...<<

     หลังจากนั้น ก็ได้พัฒนาต่อมาเป็นยุค 2G ...
ซึ่ง เปลี่ยนจากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบ Analog มาเป็นการเข้ารหัส Digital ส่งทางคลื่น Microwave ซึ่งในยุคนี้เอง เป็นยุคที่เริ่มทำให้เราเริ่มที่จะสามารถใช้งานทางด้าน Data ได้ นอกเหนือจากการใช้งาน Voice เพียงอย่างเดียว

     ในยุค 2G นี้ ... เราสามารถ รับ-ส่งข้อมูลต่างๆและติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน หรือที่เรียกว่า cell site และ ก่อให้เกิด ระบบ GSM (Global System for Mobilization) ซึ่งทำให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้ได้เกือบทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Roaming

           ยุค 2G นี้ ถือเป็นยุคเริ่มต้นแห่งการเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือเลย ... ราคาของโทรศัพท์มือถือเริ่มต่ำลง (กว่ายุค 1G) ทำให้ปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีมากขึ้น ซึ่งการส่งข้อมูลของยุค 2G นี้ เป็นยุคที่มีการเริ่มฮิต Download Ringtone , Wallpaper , Graphic ต่างๆ แต่ก็จะจำกัดอยู่ที่การ Downlaod Ringtone แบบ Monotone และ ภาพ Graphic ต่างๆก็เป็นเพียงแค่ภาพขาว-ดำที่มีความละเอียดต่ำเท่านั้น

         ยุค  2.5G  การสื่อสารไร้สายยุค   2.5G  ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยี ในระดับ 2G  แต่มีประสิทธิ  -  ภาพด้อยกว่ามาตรฐานการสื่อสารไร้สายยุค  3G  โดยเทคโนโลยียุค 2.5G สามารถให้บริการรับส่งข้อมูล   แบบแพคเก็ตที่ความเร็วระดับ  20 – 40 Kbps   ในทางปฏิบัติ เทคโนโลยีจีพีอาร์เอสนับเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในระดับ 2.5G 
 
        ยุุค 2.75G ก่อนจะมาถึงยุค 3G เราก็ยังมี 2.75G ด้วย ซึ่ง เป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) นั่นเอง EDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS และถูกเรียกกันว่าเทคโนโลยียุค 2.75 G (อย่างไม่เป็นทางการ) ลักษณะการทำงานของ EDGE นั้นจะเป็นการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ GPRS ให้มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงขึ้น 


**แต่ว่า ยุค 2.75G ของ EDGE นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการ เพียงแค่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุค 2.5G และ 3G เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น**



>>..."3G"...<<

           ต่อ มา ... ก็ได้พัฒนามาเป็นระบบ 3G หรือ Third Generation ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 จุดเด่นที่สุดของ 3G นั้น ... เป็นเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ทำให้ประสิทธิภาพในการรับ ส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพแบบมากยิ่งขึ้น เช่น การรับ-ส่ง File ที่มีขนาดใหญ่ , การใช้บริการ Video/Call Conference , Download เพลง , ดู TV Streaming ต่างๆ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว ... 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเยอะเลย

          คุณสมบัติ หลักที่เด่นๆ อีกอย่างหนึ่งของระบบ 3G ก็คือ Always On ... คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดโทรศัพท์ด้วย




>>..."4G"...<<

4G คือเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย
ผ่านอุปกรณ์แบบเคลื่อนที่ (โทรศัพท์มือถือและแทบเล็ต)             ในยุคที่ 4 หรือ 4th Generation Mobile Communications อาจจะเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า LTE (Long Term Evolution) แต่เดิมได้ถูกวางไว้เป็นระบบ 3.9G แต่ต่อมาได้ถูกพัฒนาความเร็วการเชื่อมต่อให้มากขึ้นและเปลี่ยนชื่อเป็นระบบ 4G นั่นเอง

จุดกำเนิดของระบบ 4G
           
ระบบ 4G ถูกกำหนดมาตรฐานขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2008 โดย International Telecommunications Union-Radio communications sector (ITU-R) โดยเรียกข้อกำหนดนี้ว่า The International Mobile Telecommunications Advanced specification (IMT-Advanced) ซึ่งได้กำหนดความเร็วของระบบ 4G ไว้ที่ 1Gbps แต่ด้วยขีดจำกัดทางด้านเทคโนโลยีและความพร้อมของผู้ให้บริการ จึงทำให้ระบบ 4G ในปัจจุบัน (ซึ่งถือว่าเป็นยุคเริ่มต้น) ทั้ง 2 ระบบคือทั้งแบบ WiMAX และ LTE ยังไม่สามารถทำความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงตามข้อกำหนด IMT-Advanced โดยทำได้เพียง 100-120 Mbps เท่านั้น แต่คาดว่าเมื่อ WiMAX Release 2 ถูกประกาศใช้ จะสามารถทำความเร็วได้ตามข้อกำหนดข้างต้น โดยอาจจะมีชื่อเรียกว่าระบบ 5G

ความเร็วของระบบ 4G
           
ตามที่ได้กล่าวข้างต้น ระบบ 4G ตามมาตรฐาน IMT-Advanced จะต้องสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ระดับ 1 Gbps แต่ปรากฏว่าเทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการให้บริการระบบ 4G ในปัจจุบันจึงให้บริการที่ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 100 Mbps และอัพโหลดที่ระดับความเร็ว 50 Mbps เป็นหลัก

ประโยชน์ของระบบ 4G
           
เนื่องจากการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงผ่านระบบไร้สายของระบบ 4G ทำให้เราสามารถใช้งานระบบ 4G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งทางด้านภาพและเสียง เช่น การดาวน์โหลดหรือรับชมวิดีโอ/ภาพยนต์แบบความคมชัดสูง (HD) การเรียนการสอนทางไกลผ่านระบบโทรศัพท์ไร้สาย การรักษาพยาบาลในแหล่งทุรกันดาน การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของเกษตรกรและอาชีพอื่นๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้อุปกรณ์พกพาเช่น โทรศัพท์มือถือ แทบเล็ต และ notebook computer สามารถทำงานได้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

            
จากประโยชน์ของระบบ 4G ที่มากมายข้างต้น ทำให้ประเทศต่างๆหันมาใช้ระบบนี้กันอย่างแพร่หลาย ทั้ง
สหรัฐ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี สิงค์โปร์หรือแม้กระทั่งเพื่อบ้านใกล้ชิดของเราอย่างประเทศลาวก็มีการเปิด ให้บริการระบบโทรศัพท์ 4G แล้ว แต่สำหรับประเทศไทยของเรา ทางบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ก็กำลังเริ่มทดสอบระบบนี้เช่นกัน โดยทดสอบบนคลื่นความถี่ 1800 และ 2300 MHz คาดว่าอีกไม่นานประเทศของเราน่าจะมีระบบโทรศัพท์ 4G ใช้งานกัน

           
ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่และแทบเล็ตที่รองรับการทำงานในระบบ 4G นั้นมีอยู่เกือบจะทุกยี่ห้อ ทั้ง iPhone, iPad, Samsung Galaxy, LG และ HTC เป็นต้น

 

>>..."5G"...<<


เทคโนโลยีเครือข่ายแห่งอนาคต..


              ใน ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเกิดขึ้นและเติบโตของอุปกรณ์ดีไวซ์ชนิดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งวิวัฒนาการเช่นนี้ได้กระตุ้นให้เกิดการใช้งานเพื่อประโยชน์ที่หลากหลาย มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานบนเครือข่ายเติบโตมากขึ้นตามไปด้วย นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมเครือข่ายที่ทุกสิ่ง ทุกอย่างสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้



              ดังนั้น เทคโนโลยีการสื่อสารบนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่มีใช้อยู่ทั่วไปในปัจจุบัน จะยังคงได้รับการพัฒนาต่อไป เพื่อปรับปรุงคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความสามารถของระบบให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีเสริมเพื่อใช้ในกรณีเฉพาะ ซึ่งการใช้งานร่วมกันอย่างราบรื่นระหว่างเทคโนโลยีเสริมและเทคโนโลยีหลัก อย่าง 3G และ 4Gจะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการใช้งานและบริการรูปแบบใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น



             วิวัฒนาการ ของเทคโนโลยีลักษณะดังกล่าว ถือว่าเป็นต้นแบบของยุค 5Gซึ่งประกอบไปด้วยการใช้เทคโนโลยีสัญญาณวิทยุหลายประเภทรวมกันอย่างเป็น ระบบ ก็จะทำให้สังคมเครือข่ายเกิดขึ้นได้จริงภายในปี 2563 โดยเทคโนโลยีหลักในอนาคตยังคงเป็น LTE, HSPA และ Wi-Fi ซึ่งล้วนจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยกันทั้งหมด แม้กระทั่ง GSM ซึ่งยังคงมีความสำคัญในหลายพื้นที่ทั่วโลก ดังนั้น ยุค 5Gในอนาคต ไม่ใช่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อทดแทนของเก่า แต่จะเป็นวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเดิมร่วมกับการใช้ RATs (Radio Access Technology) ใหม่ๆ เพื่อเสริมสมรรถนะของระบบโดยรวมเพื่อใช้ในงานเฉพาะด้านเท่านั้น



สังคมและเครือข่าย 5G ที่จะเกิดในปี 2020 จะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีไร้สายที่มีอยู่เดิม และเทคโนโลยีใหม่ร่วมกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น